ในโลกยุคดิจิทัลปัจจุบัน เรามีบริการและแอพพลิเคชันมากมายที่ใช้งานอยู่ทุกวัน ตั้งแต่โซเชียลมีเดีย แอพธนาคาร จนถึงอุปกรณ์อัจฉริยะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในบ้าน หากเรามีวิธีเชื่อมโยงบริการเหล่านี้เข้าด้วยกัน จะทำให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นคือจุดประสงค์ของ IFTTT (If This Then That)
IFTTT คืออะไร?
IFTTT เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมโยงระหว่างบริการและอุปกรณ์ต่างๆ โดยใช้หลักการง่ายๆ “If This Then That” ซึ่งหมายถึงหากเกิดเหตุการณ์นี้ (This) ก็จะเกิดการกระทำนั้น (That) ตามที่กำหนด
IFTTT ทำงานตามหลักการที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยม นั่นคือ “ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ (This) ก็จะทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น (That)” ซึ่งในที่นี้หมายถึงว่า เมื่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่คุณกำหนดเป็น “This” ได้เกิดขึ้นแล้ว IFTTT จะทำการสั่งงานไปยังแอพหรือบริการอื่นๆ ตามที่คุณได้กำหนด “That” ไว้อัตโนมัติ
ตัวอย่างการใช้งาน IFTTT:
คุณสามารถตั้งค่าให้ IFTTT อัปโหลดรูปจากบัญชี Instagram ของคุณไปยังบัญชี Dropbox โดยอัตโนมัติทุกครั้งที่คุณโพสต์ภาพใหม่ หรืออาจจะตั้งค่าให้ IFTTT ส่งการแจ้งเตือนมาที่โทรศัพท์ของคุณเมื่อมีการส่งอีเมลจากผู้ติดต่อสำคัญเข้ามา เป็นต้น
การสร้างชุดคำสั่งเหล่านี้ที่เรียกว่า “Applets” บน IFTTT มีความง่ายมาก คุณเพียงเลือกตัวกระตุ้นสำหรับ “This” จากรายการบริการและอุปกรณ์ที่รองรับ แล้วเลือก “That” ที่จะให้เกิดการกระทำตามมา พร้อมกับตั้งค่าเงื่อนไขเพิ่มเติมหากต้องการ จากนั้นก็คลิกเพื่อบันทึก Applet ของคุณ ง่ายกว่านี้ไม่มีแล้ว!
- If คุณโพสต์รูปบน Instagram Then แชร์โพสต์เดียวกันไปยัง Twitter
- If คุณออกจากบ้าน Then เปลี่ยนโหมดสมาร์ทโฟนเป็นโหมดการเดินทาง
- If เวลาผ่านไป 6 โมงเย็นแล้ว Then เปิดไฟบ้านอัตโนมัติ
ให้โทรศัพท์เราเปิดโหมดเงื่อนไขการเดินทางเมื่อเราออกจากบ้าน (“This”), เราสามารถใช้ IFTTT เพื่อให้แอพพลิเคชันของเราทำการเปิดโหมดดังกล่าวอัตโนมัติเมื่อ GPS ของเราตรวจจับว่าเราออกจากบ้าน (“That”)
อีกตัวอย่างหนึ่ง, เราสามารถใช้ IFTTT เพื่อสั่งให้แก่มือถือเหตุการณ์ใน Google Assistant ทำการเชื่อมโยงกับบริการ IFTTT ได้ง่าย ๆ ผ่านแอพพลิเคชัน Google Home และแอพพลิเคชัน IFTTT ในโทรศัพท์ของคุณ เรา (“This”), เช่น เวลาเรามีการต้องการเปิด-ปิดไฟจากระยะไกล (“This”) โทรศัพท์ของเราจะสามารถสั่งการด้วยเสียงให้มีปิดไฟได้ (“That”)หรือไม่ว่าจะเป็นการสั่งผ่านลำโพงอัจฉริยะ
ดังนั้น IFTTT เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้เราทำงานอัตโนมัติหลายสิ่ง โดยใช้เงื่อนไขและการกระทำที่เรากำหนดไว้ในแต่ละชุดคำสั่งที่สร้างขึ้นได้ในแอพพลิเคชันและเป็นสื่อกลางในควมคุมระบบ IOT ให้มีประสิทธิภาพและความใช้งานง่ายต่อ user มากขึ้น
ข้อดีของการใช้ IFTTT
- ประหยัดเวลาและลดงานซ้ำซ้อน ด้วยการทำงานอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนด
- เชื่อมต่อบริการต่างๆ ได้ง่ายดาย IFTTT รองรับการเชื่อมต่อกับบริการยอดนิยมมากมาย
- สร้างสิ่งที่ต้องการได้ด้วยตัวเอง ด้วยการปรับแต่งและสร้าง Applet อย่างอิสระ
- บริการฟรี ผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
ข้อจำกัดของ IFTTT
- ความซับซ้อนในการสร้าง Applet อาจมีความซับซ้อนเมื่อเพิ่มเงื่อนไขเข้าไปหลายอย่าง
- ต้องใช้อินเตอร์เฟซที่รองรับ IFTTT จึงจะสามารถเชื่อมต่อบางบริการหรืออุปกรณ์ได้
- ความล่าช้าในการทำงาน บางครั้งอาจเกิดความล่าช้าในการเรียกใช้ Applet
- ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว หากเชื่อมโยงข้อมูลส่วนตัวหรือสำคัญผ่าน IFTTT
สรุปได้ว่า IFTTT เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับเชื่อมโยงอุปกรณ์ IoT และบริการดิจิทัลต่างๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกในชีวิตประจำวัน ด้วยการทำงานแบบอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่กำหนด อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรคำนึงถึงข้อจำกัดบางประการเพื่อใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด