Internet of things ความชาญฉลาด นวัตกรรมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

ปัจจุบันนี้เรามักจะได้ยิน คำว่า internet of things (IoT) กันมากขึ้น ซึ่งในที่นี้ “Things” หมายถึง อุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน และยังเป็นคำที่ใช้แทนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ดังนั้น internet of things จึงหมายถึง อินเทอร์เน็ตของทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้หรือจะใช้คำว่าทุกสรรพสิ่ง ก็น่าจะให้ความหมายโดยรวมที่ชัดเจนมากที่สุด โดยการทำหน้าที่ของ Internet of Things หรือที่เราเรียกย่อๆ ว่า IoT หมายถึงเครือข่ายของวัตถุ อุปกรณ์ พาหนะ สิ่งปลูกสร้าง และสิ่งของต่างๆ ที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์ เซ็นเซอร์ และการเชื่อมต่อกับเครือข่ายฝังตัวอยู่ ทำให้วัตถุต่างๆเหล่านั้น สามารถเก็บและบันทึกข้อมูล รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูล ต่างๆโดยที่เราไม่ต้องป้อนอะไรลงไป  คำไฮเทคของ IOT ก็คือ มันทำให้วัตถุเหล่านั้นสามารถรับรู้สภาพแวดล้อม และถูกควบคุมได้โดยง่ายจากระยะไกล ผ่านโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายที่มีอยู่แล้ว ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อโลกกายภาพกับโลกแห่งระบบคอมพิวเตอร์ได้ง่ายมากขึ้น ผลที่ตามมาคือ ความแม่นยำเกี่ยวกับด้านข้อมูล และการส่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้น นั่นเอง

การเชื่อมโยงต่างๆ ดังกล่าวมีความง่ายจนทำให้เราสามารถสั่งการ หรือควบคุมการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือแม้กระทั่งการเชื่อมโยงการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผ่านการใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเข้ากับการใช้งานเครือข่ายอื่นๆ จนในปัจจุบันนี้ มีการพัฒนารุดหน้าไปไกล และเมื่อมีการใช้กันทั่วโลก จึงเกิดคำว่า “Smart” เกิดขึ้นมากมาย ได้แก่ Smart device, Smart Grid, Smart Home, Smart Network, Smart intelligent transportation สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ต่างก็ถูกฝัง RFID Sensor ซึ่งจะเป็นเหมือนการเติม ID และสมองเข้าไปในการทำงาน  ทำให้มันสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ และนี่ก็เป็นที่มาว่าอุปกรณ์ต่างๆ สื่อสารกันได้อย่างไร คำตอบก็คือ มันสื่อสารกันโดยอาศัยตัวเซ็นเซอร์นั่นเอง 

Internet of things ความชาญฉลาด นวัตกรรมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

ตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นภาพได้อย่างชัดเจนเรื่องการนำความทันสมัยของไอโอทีไปใช้ เช่นรองเท้า Nike โดยแรกเริ่มเดิมที มักจะมีคำถามกับทางผู้บริหารของ Nike ว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ซื้อรองเท้าไปจะนำไปใช้ใส่วิ่งจริง และตอนนี้ ทาง Nike ก็สามารถตอบโจทย์นี้ได้ โดยการนำ IOT มาใช้ เพื่อบันทึกข้อมูลต่างๆและเก็บสถิติการใช้งานของผู้ใช้รองเท้านั่นเอง สังเกตได้ง่ายๆว่า คนที่ซื้อรองเท้าไป ก็ไม่ได้จำเป็นต้องมานั่งป้อนข้อมูลไปบนรองเท้าว่าเราออกวิ่งไปแล้วกี่วัน เผาผลาญไปแล้วกี่แคลอรี่ หรือวิ่งไปแล้วกี่กิโล แต่ข้อมูลทุกอย่างจะถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ ด้วยความอัจฉริยะ ของไอโอทีนั่นเอง

ใครบ้างที่ใช้ IOT (internet of things)

ในโลกปัจจุบันนี้ไอโอทีมีผลกระทบที่สำคัญต่อโลกของเราเป็นอย่างมาก แม้แต่การดำเนินชีวิตปัจจุบัน เราแทบจะไม่รู้เลยว่า IOT ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครบางคนอาจจะไม่เคยได้ยินคำนี้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นวันนี้เรามาดูกันว่าปัจจุบันนี้ธุรกิจใดบ้างที่กำลังใช้ IOT 

  • ธุรกิจค้าปลีก

ธุรกิจค้าปลีกที่มีการใช้ไอโอทีรวมข้อมูลการวิเคราะห์กระบวนการทางการตลาด โดยผู้ค้าปลีกจับข้อมูลต่างๆ จากช่องภายในร้านและช่องทางดิจิตอล นำมาใช้ในกระบวนการวิเคราะห์แบบ Real Time เพื่อให้เกิดความเข้าใจในรูปแบบ และพฤติกรรมและความพึงพอใจของผู้บริโภคโดยกลุ่มธุรกิจค้าปลีกมักจะใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อไอโอทีเช่น ชิปติดตามสินค้าคงคลัง RFID, ระบบเซลลูลาร์และ Wifi beacon รวมไปถึงชั้นวางของอัจฉริยะ ที่เกิดจากกลยุทธ์การทำงานของ Internet of Things นั่นเอง

  • ภาคอุตสาหกรรมและการผลิต

จากห่วงโซ่อุปทานไปจนถึงการจัดส่ง มีการนำ IoT มาใช้เชื่อมต่อทุกขั้นตอน เพื่อเพิ่มมุมมองที่มีความชัดเจนและเหนียวแน่นมากขึ้นในกระบวนการและข้อมูลผลิตภัณฑ์  การใช้เซ็นเซอร์ไอโอทีขั้นสูงในเครื่องจักรโรงงาน หรือชั้นวางคลังสินค้า ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และการสร้างแบบจำลองการคาดการณ์ของระบบไอโอที เพื่อป้องกันข้อบกพร่องและการหยุดทำงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อลดต้นทุน รวมไปถึงการรับประกันเพิ่มผลผลิตและเพิ่มประสบการณ์ต่างๆให้แก่ลูกค้า

  • การแพทย์และบริการด้านสุขภาพ

เทคโนโลยีไอโอที มีการรวบรวม Stream ข้อมูลแบบ Real Time จาก Internet of medicalthings เช่น อุปกรณ์สวมใส่และอุปกรณ์เชื่อมต่อทางการแพทย์ รวมถึงอุปกรณ์ตรวจสอบการออกกำลังกาย การนอนหลับ และพฤติกรรมสุขภาพอื่นๆในทุกๆด้าน ข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยไอโอที จะช่วยให้การวินิจฉัย รวมถึงกระบวนการวางแผนการรักษามีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้นประโยชน์ของมันก็คือ ผู้ป่วยมีความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา และยังช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้ด้วยความคล่องตัวมากขึ้น

Internet of things ความชาญฉลาด นวัตกรรมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น
freepik.com
  • การขนส่งและโลจิสติกส์

ระบบตำแหน่งอัจฉริยะใน IOT ที่สามารถเปิดใช้งาน Geofence และ AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือมากขึ้น สำหรับบริษัทขนส่งและโลจิสติกส์ โดยที่มันสามารถปรับปรุงคุณภาพการบริการ ลดการหยุดทำงานของพนักงาน และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้ารวมไปถึงเพิ่มความปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายโดยการจัดการติดตาม รวมถึงตรวจสอบยานพาหนะ ที่เชื่อมต่อการขนส่งและทรัพย์สินอื่นๆ แบบเรียลไทม์

  • ภาครัฐ

มีการใช้ IoT เพื่อแก้ไขปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการจราจรติดขัดการบริการในเมืองการพัฒนาทางเศรษฐกิจการมีส่วนร่วมต่างๆของพลเมืองและความปลอดภัยสาธารณะและความปลอดภัยของเมือง ยกตัวอย่างเช่นการฝัง Sensor iot ไว้ในโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เช่น ไฟถนน (ไฟจะติดและดับโดยอัตโนมัติ) มาตรวัดน้ำ และสัญญาณไฟจราจร เป็นต้น

  • ภาคอุตสาหกรรมเกี่ยวกับพลังงาน

IoT สามารถทำนายปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้นจริงทรัพยากรกริดแบบกระจาย เช่น แสงอาทิตย์และลม ถูกรวบรวมเข้าด้วยกันผ่านไอโอที และข้อมูลพฤติกรรมต่างๆ เช่น การสร้างบ้านอัจฉริยะ สิ่งต่างๆเหล่านี้ คือสิ่งที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ภาคอุตสาหกรรมส่งมอบแก่ผู้รับบริการได้อย่างน่าเชื่อถือและมีราคาที่ยุติธรรม

จะเห็นได้ว่า การดำเนินชีวิตในปัจจุบันของเรา มีส่วนเกี่ยวข้องกับ internet of things ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ โดยที่เราไม่รู้เลยว่า ความอัจฉริยะและความทันสมัยต่างๆ ที่เราพกพาและนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เกิดจากความชาญฉลาด และการทำงานแบบอัจฉริยะ ของ Internet of Things นั่นเอง

การใช้ IoT กับธุรกิจระดับโลก

ด้วยความเติบโตของ IoT ในโลกปัจจุบันนี้ จึงดีธุรกิจระดับโลกหลายๆ ธุรกิจ ที่นำความชาญฉลาดของมันมาใช้ ไปดูกันว่ามีธุรกิจใดบ้าง

  • British Telecommunication (BT) 

: การใช้เซ็นเซอร์ตรวจวัดตำแหน่งของสายเคเบิลที่มีปัญหา 

โดยสิ่งที่ BT ได้นำมาใช้ก็คือเทคโนโลยี Location intelligent เพื่อใช้ในการติดตามตำแหน่งต่างๆ ที่เกิดปัญหาภายในระบบเครือข่ายการทำงาน และสายเคเบิลในพื้นที่ที่ให้บริการตามอาคารต่างๆ ของลูกค้า ทำให้ง่ายต่อการให้บริการและการติดตั้ง ตลอดจนง่ายแก่การแก้ไขปัญหา

  • Siemens

: ปรับโฉมใหม่จากผลิตไฟฟ้าพลังงานลมเป็นระบบอัจฉริยะ

 อย่างที่เรารู้กันดีว่า Siemens คือหนึ่งในผู้นำทางด้านเทคโนโลยีพลังงานลมของโลก ก็ได้มีการนำเทคโนโลยี RTI Messenger Software ร่วมกับเซ็นเซอร์ต่างๆในการใช้งานเพื่อติดตามการทำงานของกังหันผลิตไฟฟ้านับหลายร้อยตัว และยังมีการทำ Productive Maintenance ล่วงหน้า และยังมีการปรับแต่งค่าการทํางานของกังหัน ให้เหมาะสมกับสภาพลมในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย

  • UPS

: ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตามเส้นทางเดินรถ

พูดถึงเส้นทางการเดินรถเราคงจะคุ้นเคยกันดีกับระบบ GPS  ซึ่งปัจจุบันนี้เราก็ใช้งานกันอยู่อย่างล้นหลามโดย UPS ได้ทำการติดตั้ง GPS tracking และระบบเซ็นเซอร์ เพื่อตรวจวัดการทำงานของรถยนต์ ตั้งแต่ปี 2008 เพื่อค้นหารูปแบบของเส้นทางการเดินรถที่สั้นที่สุดและประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด ระบบที่นำมาใช้เรียกว่า On Road Intergrated Optimization and Navigation (ORION) ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด และนำมาวิเคราะห์ ช่วยให้ UPS สามารถประหยัดน้ำมันไปแล้วกว่า 1.5 ล้านแกลลอน จากการเดินรถ 1 เส้นทาง แล้วยังมีการขยายการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้เพิ่ม มาจนถึงปี 2017

Internet of things ความชาญฉลาด นวัตกรรมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น
ochsner.org
  • Ochsner

: ใช้อุปกรณ์ iot ทางการแพทย์ผสานกับระบบข้อมูลผู้ป่วย

ระบบ Ochsner Health System ได้ผสมผสานระบบ Electronic Health Records ที่มีชื่อว่า Epic เข้ากับอุปกรณ์ Wearable และ IoT เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูล และใช้สื่อสารกับผู้ป่วยได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงผลการรักษาให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับจากการนำเสนอข้อมูลสุขภาพแบบ Real Time จากอุปกรณ์ iot ซึ่งติดตามตัวผู้ป่วยเพื่อวัดค่าต่างๆ มาส่งต่อให้ระบบ Epic แพทย์จึงสามารถติดตามข้อมูลสุขภาพของคนไข้ได้ตลอดเวลา และยังสามารถวินิจฉัยอาการได้อย่างแม่นยำ

  • AT&T

: ติดตามตู้คอนเทนเนอร์ด้วย IoT

การบริการให้แก่ธุรกิจต่างๆที่มีบริการขนตู้คอนเทนเนอร์ at&t จัดให้มีโซลูชั่นไอโอทีและระบบเครือข่ายสำหรับติดตาม ตู้คอนเทนเนอร์และรถขนตู้คอนเทนเนอร์แบบ Real Time ช่วยในการลดการฉ้อโกง และติดตาม inventory ได้อย่างแม่นยำ มีผลเป็นอย่างมากต่อระบบการจัดการขนส่งและการบริการ

จากตัวอย่างการนำ iot ไปใช้ ในธุรกิจด้านต่างๆระดับโลก เราจะเข้าใจได้มากขึ้นว่า ระบบการทำงานการสื่อสารและข้อมูลต่างๆ รวมไปถึงการบริการดำเนินไปอย่างราบรื่นได้อย่างไร

 ย้อนกลับมาเรื่องใกล้ตัวกันอีกสักนิด กับการใช้งาน internet of things ในอุตสาหกรรมฟินเทค ในประเทศไทยเรา ปัจจุบันนี้มีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและมีการใช้งานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปพร้อมกับการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ที่ทำให้ในยุคนี้ เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์ และมีการพึ่งพาอินเทอร์เน็ต เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการหาข้อมูลต่างๆการติดต่อสื่อสาร รวมไปถึงการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยเครือข่ายของสิ่งที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์และเซ็นเซอร์ ทำให้สามารถเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ อย่างง่ายดาย แน่นอนว่า สิ่งที่เรากำลังจะพูดถึง ก็คือการใช้ไอโอทีในระบบการเงินนั่นเอง

Internet of things ความชาญฉลาด นวัตกรรมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น
freepik.com

IoT ในอุตสาหกรรมการเงิน

  • การลงทุน หุ้น และการเทรดแบบอัตโนมัติ

ว่าด้วยเรื่องของการเงินและการลงทุน ในอุตสาหกรรมการเงิน ขึ้นอยู่กับการสังเกตตลาดแบบเรียลไทม์ และระบบราคาที่ทำให้สามารถดูกิจกรรมของนักลงทุนในตลาดหุ้น รวมไปถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์และแพลตฟอร์มการสื่อสารรูปแบบต่างๆ ที่จะสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นปัจจุบันได้มากที่สุด โดยในปัจจุบันนี้เรายังพบว่าการใช้จ่ายและการทํารายการทางการเงินมีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบแล้ว 

  • ชำระสินค้า ด้วย Wearable Technology 

สิ่งนี้คืออุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมมากขึ้นทุกวัน และยังมีการนำแนวคิดนี้มาใช้ในการ ทำรายการต่างๆในธนาคารอีกด้วย จนในปัจจุบันอุปกรณ์ชิ้นนี้กลายเป็นเป้าหมายหลักของธนาคารทั่วโลก โดยที่หากจะพูดถึงนาฬิกาส่วนมาก ก็สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือได้ แต่ก็ยังมีนวัตกรรมอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถนำมาใช้กับอุปกรณ์สวมใส่แม้แต่ Amazon Alexa ที่เป็น Remote Device ก็ถือว่าเป็นจุดที่จำเป็นสำหรับนวัตกรรมทางการเงินและธนาคารด้วย โดยสิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานที่ต้องมีคือ Wearable และส่วนของ Remote assistance device ก็คือการตรวจสอบยอดเงินคงเหลือ และการตรวจสอบการทํารายการทางการเงินย้อนหลังนั่นเอง

  • การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค

การวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เป็นพฤติกรรมของผู้บริโภคถือว่าเป็นข้อมูลมหาศาลที่ได้จาก Big Data เราสามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อต่อยอดเป็น การสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อีกหลากหลายรูปแบบ โดยใน อุตสาหกรรมทางด้านการเงินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของตลาด ยกให้เรื่องลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เป็นวัตถุประสงค์หลักในการใช้ข้อมูลจาก Big Data แล้วเมื่อมีการนำ Big Data และไอโอที มาใช้ในทางการเงินและธนาคารก็สามารถทำให้องค์กรวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค เมื่อมาใช้บริการต่างๆ แล้วยังใช้ดูว่าผู้บริโภคทำรายการโอนเงิน หรือเลือกสาขาธุรกรรมทางธนาคารใดบ้าง ข้อมูลต่างๆเหล่านี้จะถูกนำมาวิเคราะห์ร่วมกับ โมเดลธุรกิจเพื่อใช้ในการสร้างโปรโมชั่นและหาวิธีการต่างๆที่ดึงดูดใจและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ารายบุคคลได้มากที่สุด

  • เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทางธุรกิจ

การสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้บริโภค โดยการเก็บข้อมูลที่ได้จากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Application มือถือ เซ็นเซอร์ดิจิตอล จากตู้ ATM ซึ่งจะช่วยเก็บข้อมูลจำนวนผู้ใช้งานผ่านมือถือ และพฤติกรรมในการใช้งานตู้ ATM และเมื่อได้ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ธนาคารก็จะนำมาวิเคราะห์พร้อมทั้งส่งข้อเสนอโดยตรง ไปยังกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

ในอุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมทางการเงิน ที่ได้มีการนำเทคโนโลยี IoT มาปรับใช้ เช่น การผลิตและค้าปลีก นำมาปรับใช้ในการช่วยสังเกตการเครื่องจักรและติดตามผลการทำงาน การวัดปริมาณสินค้าที่สามารถผลิตได้ รวมถึงคาดการณ์ในช่วงเวลาที่เครื่องไม่สามารถทำงานได้หรือช่วงเวลาของเครื่องหยุดพัก

  • เพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินการ

 การที่ทางธนาคารได้รับข้อมูลแบบ Real Time เกิดจากการนำไอโอทีมาปรับใช้ ซึ่งส่งผลให้การบริการ เที่ยงตรงและแม่นยำมากขึ้น มีการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแนวคิดนี้มีจุดเริ่มต้นจากอุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์ ที่ใช้ algorithm Machine Learning สำหรับศึกษาพฤติกรรมต่างๆ ของผู้ขับขี่และปรับเปลี่ยนเบี้ยประกันตามสถานการณ์ ประโยชน์ของมันก็คือ ทำให้จำนวนตัวเลขการชดเชยลดลงสูงถึง 1.8 ล้านล้าน

Internet of things ความชาญฉลาด นวัตกรรมที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น
freepik.com

นอกจากนี้แล้วการใช้ระบบ Smart Sensor ก็ยังช่วยให้การบริการสามารถลดความเสียหาย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่างๆ ได้มากถึง 30% การวิเคราะห์ข้อมูลและ Sensor เพื่อให้ธนาคารสามารถปรับปรุงกระบวนการพิจารณาเครดิต รวมไปถึงเรื่องอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย

และแน่นอนว่า การพัฒนา internet of things จะยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ แต่จะเพิ่มประสิทธิภาพ ของระบบต่างๆที่เกี่ยวข้องและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยอาจจะมีการ พัฒนาเรื่อง internet of Value ต่างๆเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย ทั้งนี้ก็เพื่อขับเคลื่อน ภาคธุรกิจต่างๆ ให้เจริญรุดไปข้างหน้า รวมถึงพัฒนาความเป็นอยู่และรูปแบบวิถีชีวิตของคนเรา นั่นเอง