architecture Iot

ในปี 2020 เป็นปีที่อุปกรณ์ต่างๆ สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทได้เกือบจะทุกอย่างแล้ว และข้อดีของการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ทได้ คือ มันสามารถสั่งงาน หรือดูการทำงานได้จากระยะไกล ทำให้ไม่จำเป็นต้องไปตรวจเช็คตลอดเวลา ในเวลาที่วุ่นๆ ระบบก็สามารถจัดการงานให้เราเองได้ หรือถ้ามีปัญหาที่ระบบไม่สามารถแก้ไขได้ ตัวระบบก็จะแจ้งเตือนมายังผู้ดูแลให้แก้ไข  ทำให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด และเกิดประสิทธิภาพสูงที่สุดอีกด้วย สิ่งที่จะทำให้เกิดกระบวนการทำงานแบบนี้ เรียกว่าการทำโครงสร้าง IoT แต่ผู้ดูแลระบบ หรือเจ้าของระบบต้องเข้าใจกระบวนการทำงานก่อนจึงจะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด ผู้ที่เริ่มต้นเรียนรู้ระบบ เข้าใจโครงสร้างทั้งหมด และก็ต้องเข้าใจกระบวนการด้วย จึงจะทำให้สื่อสารกันในรูปแบบเดียวกัน ดังนั้น Architecture IoT จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้ไว้ก่อนที่จะเริ่มต้นสร้างระบบ IoT หรือดูแลระบบ IoT

โครงสร้างการทำงานของระบบ IoT ตามที่ใช้กันจะมีอยู่หลายรูปแบบ ผู้เขียนเลือกแบบที่นิยมใช้กันทั่วไป มานำเสนอให้ทุกท่านทราบโดยทั่วกัน ดังนี้

architecture Iot

Device Layer หรือ Hardware Layer

เป็นลำดับชั้นล้างสุดที่เป็นฐาน เช่น Sensor ทำหน้าที่เป็นเหมือนผิวหนังที่สัมผัส หรือดวงตา อุปกรณ์ที่ใช้ เช่น วัดอุณภูมิ วัดค่าแสง วัดความชื้น วัดคุณภาพน้ำ กล้องวงจรปิด อัลต้าโซนิก เรด้าดีเทคชั่น เป็นต้น , Microcontroller เป็นเหมือนสมองที่ทำหน้าที่สั่งงาน หรือส่งข้อมูล ไปให้ส่วนต่างๆ ของระบบอุปกรณ์ที่ใช้งาน เช่น Arduino ic-pic ESP Microbit Chip Edge-Computing เป็นต้น , Actuators  เป็นเหมือน มือ แขน ขา ที่ทำหน้าที่ใน การหยิบจับ ขับเคลื่อน เปล่งเสียง หรือแสดงผล ในรูปแบบต่างๆ อุปกรณ์ที่ใช้งาน เช่น แขนกล รีเลย์ หลอดไฟ มอเตอร์ กระดิ่ง เตาไฟฟ้า อุปกรณ์เปล่งเสียง จอแสดงผล เป็นต้น ทั้งหมดนี้ทำหน้าที่อยู่ในชั้นของอุปกรณ์ทั้งหมดที่มีส่วนสำคัญในระบบ IoT และเป็นส่วนที่ทุกคนใช้งานมากที่สุด ถ้าเป็นอุปกรณ์ที่เข้าใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เช่น ตู้ATM  เครื่องวัด PM2.5 เครื่องกรองอากาศ กล้องวงจรปิด อุปกรณ์ที่สั่งงานผ่านมือถือได้ เป็นต้น

architecture Iot

Network Layer หรือ Communication Layer

เป็นชั้นที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนถนนในการขับเคลื่อนข้อมูลไปยังส่วนต่างๆ ทำให้รับ-ส่งข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อยู่ในส่วนของชั้นนี้ ยกตัวอย่างคือ Network Layer เป็นเหมือนถนน ถ้ารถมีจำนวนมากถนนจะต้องใหญ่ ถึงจะไปถึงที่หมายได้รวดเร็ว เปรียบได้กับข้อมูลที่ส่งถ้าข้อมูลที่ส่งมีขนาดเล็กปริมาณช่องสัญญาณไม่ต้องกว่างมาก ก็ถึงที่ฝังผู้รับได้อย่างดี ชั้นนี้จะเป็นตัวกลางระหว่าง Device กับ Data link (Cloud ) ที่ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างกันตลอดเวลา อุปกรณ์ที่อยู่ในชั้นของ Network  ประกอบด้วย Lan , RS232 ,Wi-Fi ,Bluetooth , RS485 , Lora , Nb-IoT , 3G ,4G ,5G เป็นต้น ที่ใช้งานกันส่วนมากจะเป็น Router กับ Smart phone 3G หรือ 4G  เป็นต้น

architecture Iot

Data Link Layer หรือ Cloud Layer

เป็นชั้นที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการจัดการข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมข้อมูล และเก็บข้อมูล เพื่อนำไปใช้ในการวิเคราะห์ ประมวลผล หรือใช้สำหรับ AI (Artificial Intelligence) สำหรับข้อมูลที่มีมากพอสำหรับพยากรณ์อนาคตได้ ว่าฝนตกวันไหน เวลาไหน อากาศข้างหน้าจะเป็นอย่างไร และนำมาใช้กับการหาว่าเครื่องจักรในโรงงานว่าจะเสียหายในส่วนไหน ประสิทธิภาพเป็นเช่นใด ผลิตชิ้นงานได้กี่ชิ้นต่อวัน เป็นต้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในชั้นนี้คือการเก็บข้อมูลว่าข้อมูลที่ได้สามารถนำมาใช้งานได้มากแค่ไหน ในการวิเคราะห์ข้อมูลให้ถูกต้อง เป็นต้น ปัจจุบันที่ใช้งานอยู่จะเป็นส่วนของการเก็บข้อมูลทั่วไปบน Google Drive หรือ Drop Box ในเชิงฐานข้อมูลจะเป็น SQL เป็นต้น 

Application Layer

ทำหน้าที่ในการแสดงผลโดยนำข้อมูลที่เก็บมาได้ มาแสดงเป็นรูปแบบของ กราฟ หรือแดชบอร์ด ทำให้ผู้ใช้งานเข้าใจได้ง่ายขึ้น สามารถสั่งงานได้จากระยะไกล เช่น การเปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศ ปรับอุณภูมิ เปิด-ปิดประตูบ้านผ่านมือถือ เป็นต้น ผู้ที่จะทำงานอยู่ในส่วนนี้จะเป็นกลุ่มของ Developer Application หรือโปรแกรมเมอร์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Web App ,Mobile App ,Form App เป็นต้น

Customer หรือ Business Layer

เป็นชั้นที่มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆ เพราะมันคือปลายทางของระบบโครงสร้าง IoT  นั่นคือ ส่วนของการนำไปใช้งานนั่นเอง  ชั้นนี้เป็นชั้นของผู้ใช้งาน และผู้ที่นำระบบ  IoT ไปใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด ใช้ในการแก้ไขปัญหา ใช้ในการตัดสินใจสำหรับผู้บริหาร ชั้นนี้เป็นชั้นที่ผู้บริหารต้องเข้าใจว่าจะสร้างระบบ IoT ไปใช้งานในส่วนไหนให้เกิดประสิทธิภาพ โดยใช้หลักการของ Business Model ในขั้นตอนนี้เพื่อวิเคราะให้รอบด้านก่อนจะลงมือสร้างระบบ IoT โดย วิเคราะห์ต้นทุน อุปกรณ์ ผู้ใช้งาน ลูกค้า โอกาส กำไรที่ได้รับ  เป็นต้น แล้วเมือพัฒนาเสร็จแล้วก็ต้องมาปรับในระบบของแนวคิดของ Lean หรือ agile เป็นต้น

 ทั้งหมดนี้ คือ IoT Architecture  หรือที่เราเรียกกันว่าโครงสร้างของระบบ Internet of Things ซึ่งมีส่วนสำคัญในการคับเคลื่อนระบบ IoT ไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน แล้วยังสามารถสื่อสารกับทุกคนได้ในรูปแบบเดียวกันทั่วโลก ว่าระบบที่กำลังทำอยู่ เราทำอยู่ในส่วนของ Layer ไหน โดนส่วนมากที่เราจะเข้าใจกันจะเป็นส่วนของ Device Layer ว่าอุปกรณ์คือ IoT แต่ในเมื่อเรารู้จักระบบโครงสร้างแล้วเราจะตอบได้ทันทีเลยว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของระบบ IoT เท่านั้น ซึ่งระบบนี้ที่ว่ามีทั้งหมด 5 ส่วนด้วยกัน ผู้เขียนต้องการให้ทุกท่านเข้าใจระบบโครงสร้าง IoT ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ถ้าจะให้ลงรายละเอียด อาจจะต้องใช้เวลาสัก 20 วันถึงจะลงรายละเอียดได้ทั้งหมด อย่างที่ผู้เขียนได้เข้ารับการศึกษาจาก

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ในคอร์สการ อบรม UP SKILL & RE SKILL บัณฑิตพันธุ์ใหม่ IT Non Degree ที่สามารถนำมาใช้งานได้จริง

ผู้เขียน ปุ้ม IoT